วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Lesson 7



บันทึกอนุทิน

วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
(Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ.ตฤณ  แจ่มถิน
ประจำวันที่  9  มีนาคม  2559
เรียนครั้งที่ 7  เวลา 08:30-12:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน  224



 



Knowledge (ความรู้ )



เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
(Children with Behavioral and Emotional Disorders)
  • มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ 
  • แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น 
  • มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
  • เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินาน ๆ ไม่ได้
  • เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ 
  • ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย


ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  • ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว 
  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป 
  • ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต


ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  • อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน 
  • ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก 
  • ดูดนิ้ว กัดเล็บ
  • หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม 
  • เรียกร้องความสนใจ 
  • อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า 
  • ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
  • ฝันกลางวัน 
  • พูดเพ้อเจ้อ 


การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ตามกลุ่มอาการ


ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
  • ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
  • ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
  • กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
  • เอะอะและหยาบคาย
  • หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
  • ใช้สารเสพติด
  • หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ

ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration)
  • จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที 
  • ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
  • งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
สมาธิสั้น (Attention Deficit)
  • มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา
  • พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
  • มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
  • หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
  • เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
  • ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย (Function Disorder)
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder) 
  • การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation) 
  • การปฏิเสธที่จะรับประทาน 
  • รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
  • โรคอ้วน (Obesity)
  • ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)
ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
  • ขาดเหตุผลในการคิด
  • อาการหลงผิด (Delusion)
  • อาการประสาทหลอน (Hallucination)
  • พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
  • ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
  • รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้ 
  • มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน 
  • มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์ 
  • แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 
  • มีความหวาดกลัว

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
  • เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
  • เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum) 



เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit Hyperactivity Disorders)



ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ
  • Inattentiveness
  • Hyperactivity
  • Impulsiveness

Inattentiveness (สมาธิสั้น) 
  • ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ 
  • ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ 
  • มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย 
  • เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ 
  • เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)
  • ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
  • เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 
  • เหลียวซ้ายแลขวา 
  • ยุกยิก แกะโน่นเกานี่ 
  • อยู่ไม่สุข ปีนป่าย 
  • นั่งไม่ติดที่ 
  • ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)
  • ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
  • ขาดความยับยั้งชั่งใจ 
  • ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ 
  • ไม่อยู่ในกติกา 
  • ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง 
  • พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง 
  • ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน

สาเหตุ
  • ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง เช่น โดปามีน (dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) 
  • ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า (frontal cortex)
  • พันธุกรรม
  • สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น

       สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก


ยารักษาโรคสมาธิสั้นที่มีใช้ในประเทศไทย






เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps) 




  • เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
  • เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน 
  • เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด 
  • เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด



Skill (ทักษะ)

- ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการแก้ปัญหา
- ทักษะการตอบคำถาม


Application ( การประยุกต์ใช้ )

      นำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อที่จะช่วยในการพัฒนาให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยจะต้องอาศัยความรัก ความเข้าใจ ความเมตตากรุณาของครูผู้สอน และความรัก ความเข้าใจ กำลังใจจากผู้ปกครอง ที่จะเป็นแรงผลักดันให้เด็กดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่คิดว่าตัวเองเกิดมาไม่เหมือนผู้อื่น และเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กอีกด้วย


Technical Education ( เทคนิคการสอน )

- ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย


Evaluation ( การประเมิน)

Self : ตั้งใจเรียน เข้าเรียนตรงเวลา ร่วมตอบคำถามกับเพื่อนๆ

Friend : ตั้งใจเรียน ช่วยกันทำกิจกรรม และตอบคำถาม

Teacher : อาจารย์สอนได้เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างประกอบ และมีการให้ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหาที่เรียน











Lesson 6


บันทึกอนุทิน

วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
(Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ.ตฤณ  แจ่มถิน
ประจำวันที่  24  กุมภาพันธ์  2559
เรียนครั้งที่ 6  เวลา 08:30-12:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน  224





ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากเป็นสัปดาห์แห่งสอบกลางภาค
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559







วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Lesson 5


บันทึกอนุทิน

วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
(Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ.ตฤณ  แจ่มถิน
ประจำวันที่  17  กุมภาพันธ์  2559
เรียนครั้งที่ 5  เวลา 08:30-12:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน  224





Knowledge ( ความรู้) 




เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities) 



  • เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) 
  • เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง 
  • ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย 

สาเหตุของ LD
  • ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
  • กรรมพันธุ์

1. ด้านการอ่าน (Reading Disorder)
  • หนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
  • อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
  • ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
  1. จาน           อ่านเป็น              จาง / บา /จา
  2. ง่วง            อ่านเป็น              ม่วม / ม่ง / ง่ง
  3. เลย            อ่านเป็น              เล
  4. โบราณ      อ่านเป็น              โบรา
  5. หนังสือ      อ่านเป็น              สือ
  6. อรัญ          อ่านเป็น              อะรัย

ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน
  • อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
  • อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
  • เดาคำเวลาอ่าน
  • อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
  • อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
  • ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
  • ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
  • เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้

2. ด้านการเขียน (Writing Disorder)
  • เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
  • เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด
  • เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ



ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน
  • ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
  • เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
  • เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน  เช่น ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9
  • เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้
  • เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
  • เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด
  • จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก
  • สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์
  • เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด
  • เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
  • ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง

3. ด้านการคิดคำนวณ (Mathematic Disorder)
  • ตัวเลขผิดลำดับ
  • ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
  • ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
  • แก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้

ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ
  • ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด
  • นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
  • คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว
  • จำสูตรคูณไม่ได้
  • เขียนเลขกลับกันเช่น13เป็น31
  • ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น
  • ตีโจทย์เลขไม่ออก
  • คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
  • ไม่เข้าใจเรื่องเวลา
4. หลายๆ ด้านร่วมกัน


อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD
  • แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
  • มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
  • เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
  • งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
  • การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี
  • สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
  • เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
  • ทำงานช้า
  • การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี
  • ฟังคำสั่งสับสน
  • คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี
  • ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน
  • ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี
  • ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา
  • ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน



ออทิสติก (Autistic) 



  • หรือ ออทิซึ่ม (Autism) 
  • เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 
  • ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น 
  • ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม 
  • เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
  • ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

"ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว" 

  • ทักษะภาษา
  • ทักษะทางสังคม
  • ทักษะการเคลื่อนไหว 
  • ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่ 



ลักษณะของเด็กออทิสติก 
  • อยู่ในโลกของตนเอง
  • ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
  • ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน 
  • ไม่ยอมพูด
  • เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
  1. ดูหน้าแม่                                           - ไม่มองตา
  2. หันไปตามเสียง                                 - เหมือนหูหนวก
  3. เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม                          - เคยพูดได้ต่อมาหยุดพูด
  4. ร้องเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้         - ไม่สนใจคนรอบข้าง
  5. จำหน้าแม่ได้                                     - จำคนไม่ได้
  6. เปลี่ยนของเล่น                                 - นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
  7. เคลื่อนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย          - มีพฤติกรรมแปลกๆ
  8. สำรวจและเล่นตุ๊กตา                         - ดมหรือเลียตุ๊กตา
  9. ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ        - ไม่รู้จักความเจ็บปวด ชอบทำร้ายตนเองและผู้อื่น

เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติก องค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา

          ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
          ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
           มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ

พฤติกรมการทำซ้ำ
  • นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง
  • นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
  • วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น
  • ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
          
          พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ

Autistic Savant
  • กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker) จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking) 
  • กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and memory thinker) จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking)




 Skill (ทักษะ)

- ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการแก้ปัญหา
- ทักษะการตอบคำถาม


Application ( การประยุกต์ใช้ )

      นำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยต้องทำความเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของเด็กพิเศษ อาการเบื้องต้น การดูแล ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองได้ และเราต้องมีจิตใจที่รักเด็กโดยแท้จริง มีความเมตตาปราณี ทำให้เด็กได้รับความรัก ความเมตตานั้นนั้น และต้องจัดกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยที่ดี ให้เด็กสามารถเรียนรู้ร่วมกับเด็กคนอื่นได้ สามารถช่วยเหลือตนเองและดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข


Technical Education ( เทคนิคการสอน )

- ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย


Evaluation ( การประเมิน)

Self : ตั้งใจเรียน เข้าเรียนตรงเวลา ร่วมตอบคำถามกับเพื่อนๆ

Friend : ตั้งใจเรียน ช่วยกันทำกิจกรรม และตอบคำถาม

Teacher : อาจารย์สอนได้เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างประกอบ และมีการให้ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหาที่เรียน
















วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Lesson 4


บันทึกอนุทิน

วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
(Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อ.ตฤณ  แจ่มถิน
ประจำวันที่  3  กุมภาพันธ์  2559
เรียนครั้งที่ 4  เวลา 08:30-12:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน  224




Knowledge ( ความรู้ )



เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders )

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด

  • หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด


1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
  • เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
  • ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
  • เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
  • เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
  • พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
  • การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
  • อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
  • เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
  • ความบกพร่องของระดับเสียง
  • เสียงดังหรือค่อยเกินไป
  • คุณภาพของเสียงไม่ดี

ความบกพร่องทางภาษา
  • หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมาย ของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language) 
  • มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
  • มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
  • ไม่สามารถสร้างประโยคได้
  • มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
  • ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ
2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า  Dysphasia หรือ Aphasia
  • อ่านไม่ออก (alexia) 
  • เขียนไม่ได้ (agraphia) 
  • สะกดคำไม่ได้
  • ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
  • จำคำหรือประโยคไม่ได้
  • ไม่เข้าใจคำสั่ง
  • พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

Gerstmann’s syndrome 
  • ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia) 
  • ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria) 
  • คำนวณไม่ได้ (acalculia) 
  • เขียนไม่ได้ (agraphia) 
  • อ่านไม่ออก (alexia) 

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
  • ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง 
  • ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน 
  • ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ 
  • หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก 
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้ 
  • หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก 
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย 

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments) 
  • เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน 
  • อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป 
  • เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
  • มีปัญหาทางระบบประสาท
  • มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
โรคลมชัก (Epilepsy)
  • เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
  • มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
  • อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
  • มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
  • เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก 
  • เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู
3.อาการชักแบบ Partial Complex
  • มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
  • เหม่อนิ่ง 
  • เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
  • หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
  • เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น





การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
  • จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
  • ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
  • หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
  • ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจาปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
  • จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
  • ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
  • ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ

ซี.พี. (Cerebral Palsy)
  • การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด 
  • การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน



1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)
  • spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
  • spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
  • spastic paraplegia อัมพาตครึ่งท่อนล่าง
  • spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว


2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (athetoid , ataxia)
  • athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
  • ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน



3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed) 

    กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) 
  • เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว 
  • เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่ 
  • จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม 

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) 
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
  • กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Poliomyelitis) 



  • มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
  • ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม 


โรคอื่นๆ
  • โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus )  
  • โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)  
  • โรคมะเร็ง (Cancer)  
  • เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia

แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) 




ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว 
  • ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  • เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
  • ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ 
  • มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง 
  • หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว 
  • หกล้มบ่อย ๆ
  • หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ



Skill (ทักษะ)

- ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการแก้ปัญหา
- ทักษะการตอบคำถาม


Application ( การประยุกต์ใช้ )

      นำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยต้องทำความเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของเด็กพิเศษ และจัดกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยที่ดี ให้เด็กสามารถเรียนรู้ร่วมกับเด็กคนอื่นได้ สามารถช่วยเหลือตนเองและดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข


Technical Education ( เทคนิคการสอน )

- ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย


Evaluation ( การประเมิน)

Self : ตั้งใจเรียน เข้าเรียนตรงเวลา ร่วมตอบคำถามกับเพื่อนๆ

Friend : ตั้งใจเรียน ช่วยกันทำกิจกรรม และตอบคำถาม

Teacher : อาจารย์สอนได้เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างประกอบ และมีการให้ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหาที่เรียน